วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ช็อกโกแลตดุแลตับ

นักวิจัยชาวสเปนค้นพบว่า ดาร์กช็อกโกแลตอาจกลายมาเป็นยารักษาโรคตับแข็งอย่างมีประสิทธิภาพได้ในอนาคต

โดยพวกเขาได้ทดลองให้ผู้ป่วยโรคตับแข็งระยะสุดท้ายรับประทาน ดาร์กช็อกโกแลตเป็นประจำหลังอาหาร และพบว่าผู้ป่วยมีความดัน เลือดในช่องท้องและตับเพิ่มขึ้นหลอดเลือดที่เสื่อมสภาพในเซลล์ตับ จึงถูกฟื้นฟูและขยายตัว ทั้งนี้เป็นเพราะในผลโกโก้ที่นำมาผลิตช็อกโกแลตนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดและขยายหลอดเลือดนั่นเอง นับว่าเป็นการจุดประกายความหวังการรักษาโรคตับได้เป็นอย่างดี

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อาการคนขาดวิตามินซี

ทราบหรือไม่ว่าอาการแบบไหนที่เรียกว่ากำลังขาดวิตามินซี

- อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีเลือดออกตามไรฟัน โดยเฉพาะเวลาแปรงฟัน เป็นหวัดง่าย และเป็นบ่อยๆ หายแล้วก็เป็นอีก เพราะภูมิต้านทานต่ำ เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารอาหารในการเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย

- เมื่อปล่อยให้ขาดวิตามินซีไปนานๆ ก็จะแสดงอาการออกทางกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และเส้นเลือด เช่น เจ็บกล้ามเนื้อ อ่อนแรง เส้นเลือดไม่แข็งแรง เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตกง่าย ผิวช้ำง่าย ปากแห้ง ผิวแห้ง

- ถ้าเป็นแผลจะหายช้า และอาจนำมาซึ่งปัญหาโรคข้อกระดูก โรคหลอดเลือด และโรคหัวใจ ในกรณีที่ขาดวิตามินซีเป็นเวลายาวนาน

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมดูแลตัวเองไม่ให้ขาดวิตามินซี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง.

ชาจีน ดับกลิ่นคาวปลาในการต้ม

วิธีการดับกลิ่นคาวของปลาในการปรุงอาหารนั้นเป็นเคล็ดลับคู่ครัวที่คุณแม่บ้าน หรือว่าสาวๆ ที่ชอบทำอาหารควรรู้ไว้นะคะ เพราะเวลาต้มปลาออกมาแล้วมีกลิ่นเหม็นคาว เมนูเด็ดจานนั้นอาจจะไม่น่าทานไปเลยก็ได้ค่ะ


ซึ่งวิธีการก็ง่ายๆ ค่ะ เพียงแค่ใส่ใบชาจีนลงไปในหม้อที่ใช้ต้มปลาประมาณ 6 – 7 ใบ ปลาที่ต้มออกมาก็จะไม่มีกลิ่นคาว ยิ่งถ้าทุบหอมแดงลงไปสัก 2 – 3 หัว ด้วย ก็จะช่วยเพิ่มรสชาติปลาต้มได้ดีขึ้นไปอีกค่ะ ลองนำไปทำดูนะคะ รับรองต้องติดใจแน่นอนจ้า!!

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

น้อย กับ มากช่วยชะลอชลาได้ง่าย

เนื้อน้อย - ผักมาก
กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์แต่น้อยให้กินพวกพืชผักต่าง ๆ ให้มาก โดยเฉพาะผู้สูงวัยเพราะระบบย่อยอาหารเริ่มจะเสื่อมลงและหย่อนสมรรถภาพจึงจำเป็นต้องกินอาหารที่ย่อยงาย และเมื่อมีอายุมากขึ่นร่างกายก็ต้องการอาหารเข้าไปเสริมสร้างความเจริญเติบโตให้แก่ร่างกายแต่อย่างไร
เกลือน้อย - ส้มมาก
ควรกินอาหารที่ไมรสเค็มจัดเพราะจะมีปัญหาเกี่ยวกับไตและความดันโลหิตสูงให้กินผลไม้ที่มีรสเปรียวเพิ่มขึ้นเพื่อระบายท้องและจะได้รับวิตามินซีเพื่อความแข็งแรงของร่างกาย ช่วยบำรุงฟัน และป้องกันโรค ลักปิดลักเปิดด้วย
น้ำตาลน้อย - ผลไม้มาก
ควรจะกินผลไม้แทนขนม ของหวานแต่ควรเลือกผลไม้ที่รสไม่หวานจัด ร่างกายจะได้รับทั้งวิตามิน เกลือแร่มากขึ้นเพื่อมาต้านทานโรคต่าง ๆ ได้
กินน้อย - เคี้ยวมาก
กินอาหารทีละน้อย ไม่ต้องตักคำโต และแต่ละคำควรเคี้ยวให้ละเอียด อย่างน้อยเคี้ยวสัก 15 ครั้งต่ออาหาร 1 คำ จะช่วยทำให้กระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น และไม่มีปัญหาเรื่องท้องผูก ท้องเฟ้อ ท้องอืด


เดี้ยวกับมาต่อให้น้ะค้ะ

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของโกโก้

ประโยชน์ของโกโก้


ดื่มโกโก้วันละแก้วสุขภาพดี

นอกชาหรือไวน์แดงแล้ว โกโก้ก็อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่แพ้กัน

ผลการศึกษาชิ้นใหม่พบว่านอกจาก ชา หรือไวน์แดง ที่รู้กันดีว่ามีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค รวมถึงยังป้องกันผลกระทบจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ "โกโก้" ที่มีคุณสมบัติมากกว่าเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่ว่ามาเสียอีก

นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดง

ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกว่าครึ่งหนึ่ง

ปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้

ในการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

แม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่า ทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น

"แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย"

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาหาร5อย่างที่คุณควรเลี่ยง

อาหาร 5 อย่างที่คุณควรเลี่ยง

ได้อ่านรายงานการวิจัยจาก EWG (Environmental Working Group) ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าผลการตรวจเลือดของเด็กแรกเกิดในสหรัฐอเมริกามีสารที่อาจเป็นพิษตกค้างในเด็กอ่อนได้โดยเฉลี่ยมากถึง 287 ชนิด! ทั้งยาฆ่าแมลง สารปรอท และสารเคมีอย่างพวก Teflon ซึ่งก็เป็นเพราะคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์นั้น รับประทานอาหารที่มีสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้เข้าไป จึงตกค้างอยู่ในลูก

งานวิจัยพบว่าการเก็บตัวอย่างอาหารทั้งหลายมียาฆ่าแมลง และยาฆ่าวัชพืชตกค้างมากถึง 50-90% เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่อาหารที่เรากินในปัจจุบันนี้ ห่างไกลจากความปลอดภัยโดยสิ้นเชิง มาดูกันสิว่าจะเริ่มต้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีนั้น คุณควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไรบ้าง

อาหารกระป๋องทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้กระป๋อง ทั้งนี้เพราะความเป็นกรดจากผลไม้กระป๋อง จะไปกร่อนให้สารเคมีบางอย่างออกมาจากกระป๋องและปนเปื้อนอยู่ในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Bisphenol-A หรือเรียกย่อๆ ว่า BPA ซึ่งพบว่าเชื่อมโยงไปถึงปัญหาสุขภาพ ตั้งแต่โรคหัวใจ เบาหวาน ความอ้วน ปัญหาของระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาท และอาจเชื่อโยงไปถึงการเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย ควรจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในเด็ก แค่ได้อาหารกระป๋องวันหนึ่งสัก 2-3 ครั้ง ก็เกินค่าปลอดภัยไปแล้ว ทางที่ดีเลือกรับประทานผักผลไม้สด หรือถ้าอยากรับประทานผลไม้ที่ไม่ตรงตามฤดูกาล ก็ขอเลือกที่เก็บไว้ในขวดโหลแก้วจะดีกว่ากระป๋องโลหะ


ควรเลี่ยงป๊อปคอร์นที่ทำโดยไมโครเวฟ ทั้งนี้เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากไมโครเวฟนั้น จะไปทำให้สารเคมีในถุงป๊อปคอร์นระเหยมาปนเปื้อน ทำให้ข้าวโพดคั่วของคุณนั้นไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารที่เรียกว่า PFOA (Perfiuorooctanoic Acid) ซึ่งเคลือบอยู่ภายในถุงของป๊อปคอร์น จากการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าสารนี้ สามารถเชื่อมโยงไปถึงการมีลูกยาก การทำงานที่ผิดปกติของสารเคมีต่างๆ เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งตับอ่อน มะเร็งของตับและมะเร็งของอัณฑะ


เนื้อสัตว์รวมถึงปลาที่มาจากฟาร์มปศุสัตว์ ที่เร่งเลี้ยงให้สัตว์เหล่นี้เจริญเติบโตเร็วกว่าธรรมชาติ โดยใช้ทั้งยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมนกระตุ้น ไปจนถึงให้สารอาหารที่ไม่ธรรมชาติ อย่างเช่น วัวควรจะกินหญ้าตามธรรมชาติ แต่วัวที่เลี้ยงในปศุสัตว์นั้นกลับไปให้กินธัญพืช ถั่วเหลือง ข้าวโพด ซึ่งไม่ใช่อาหารธรรมชาติ งานวิจับพบว่าเมื่อเทียบเนื้อวัวจากฟาร์มปศุสัตว์ กับวัวที่เลี้ยงกินหญ้าตามธรรมชาติ เนื้อวัวกินหญ้าจะมีเบต้าแคโรทีน วิตามินอี กรดไขมัน จำเป็นโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 conjugated linoleic Acid หรือ CLA มากกว่า รวมทั้งมีเกลือแร่ แคลเซียม แมกนีเซียม โปแตสเซียมสูงกว่าด้วย ทั้งนี้สาระสำคัญคือ กรดไขมันชนิด CLA นั้น จำเป็นต่อสุขภาพ มีคนนำมาใช้ช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะช่วยลดการสะสมของไขมัน ช่วยให้ระบบเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น เสริมการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทั้งยังช่วยรักษาระดับของ คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ไม่ให้สูงจนเกินไป มีผลช่วยป้องกันเบาหวานได้ดี แต่จะได้จากวัวที่เลี้ยงตามธรรมชาติเท่านั้น หากเลี้ยงโดยปศุสัตว์ใช้สารเคมียาและฮอร์โมนเร็วก็จะไม่มีสาร CLA เท่าที่ควร

นอกจากจะต้องเลี่ยงสัตว์จากฟาร์มเลี้ยงแล้ว ปลาแซลมอนที่มาจากฟาร์มเลี้ยงก็ควรจะต้องระมัดระวังด้วย เพราะมักมีสารเคมี ทั้งยาฆ่าแมลงจำพวก DDT Dioxin และสารก่อมะเร็งบางอย่าง ซึ่งพบได้มากในปลาที่เลี้ยงมากกว่าปลาที่จับได้จากทะเล แต่ปลาจากทะเลก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสียทีเดียว เพราะโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลาย ต่างเอาขยะไปโยนทิ้ง ทำให้มีโลหะหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารปรอทตกค้างการศึกษาโดย US Geological Survey พบว่าเมื่อสำรวจแม่น้ำสายต่างๆ ในอเมริกา 300 สาย มีถึง 27% ที่มีระดับของปรอทในปลาจากแม่น้ำเหล่านั้น มากกว่าค่ากำหนดของ US EPA ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ทางที่ดีควรเลือกรับประทานปลาที่มาจากธรรมชาติในแหล่งที่บริสุทธิ์ อย่างเช่น อลาสก้า ซึ่งไม่ค่อยจะมีโรงงานอุตสาหกรรมมากนัก หรือาจจะหันไปรับประทานปลาตัวเล็กๆ อย่างปลาซาร์ตีน หรือปลาแอนโชวี่ ซึ่งยังมีกรดไขมันจำเป็น โอเมก้า 3 แถมเคี้ยวก้างกรุบกรอบได้ทั้งตัวได้แคลเซียมเพิ่มขึ้นด้วย และปลาตัวเล็กก็จะปลอดภัย จากสารเคมีตกค้างมากกว่าปลาตัวใหญ่


ควรหลีกเลี่ยง นม และผลิตภัณฑ์นม ทั้งนี้ เพราะนมส่วนใหญ่นั้น ได้มาจากฟาร์ม โคนม ซึ่งมีการใช้ ฮอร์โมนเร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโกรทฮอร์โมนที่เรียกว่า rBGH Recombinant bovine Growth Hormone ซึ่งหมายถึง ฮอร์โมนที่ไปเร่งการเจริญเติบโต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์นมมากที่สุด พบว่าโกรทฮอร์โมนที่ไม่ธรรมชาตินี้ตกค้างอยู่ในนม และผลิตภัณฑ์นมและอาจจะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้


ควรหลีกเลี่ยง ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่ผลิตเป็นอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งมักจะเป็น Nonorganic คือมีสารเคมี ทั้งยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ฮอร์โมนเร่ง ยาปฏิชีวนะทั้งหลาย ทางที่ดีควรจะเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่มาจากฟาร์ม organic ซึ่งหมายถึงเลี้ยงโดยธรรมชาติ วัวก็ต้องกินหญ้า ไม่ใช่ให้กินถั่ว กินธัญพืช ไก่ก็ต้องเลี้ยงโดยธรรมชาติ ไม่ใช่ใส่สารเคมีเร่ง ซึ่งค่อนข้างจะหายาก และราคาแพง แต่เพื่อสุขภาพของตัวคุณเองในระยะยาว เห็นทีจะต้องพยายามปลูกผักทำสวนครัว เลี้ยงไก่ เอาไว้กินไข่เองที่บ้านถึงจะปลอดภัยที่สุดนะคะ


เอาเป็นว่าอะไรที่ดูไม่ธรรมชาติก็พยายามหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารสด ที่ผ่านความร้อนไม่สูงมากหนัก ด้วยการต้ม ตุ๋นนึ่ง หลีกเลี่ยงการปิ้ง ย่าง ทอด ซึ่งจะทำให้คุณค่าอาหารเสีย และเพิ่มสารพิษมากขึ้นกว่าเดิม

สาวจีนห่มผ้า

ส่วนผสม
กุนเชียงไก่ หมู
(หั่นเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ยาวประมาณ 6 นิ้ว) อย่างละ 3 อัน
หัวไชเท้า 2 หัว
ขึ้นฉ่าย 5 ต้น
น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา


วิธีทำ
1. ต้มน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ ด้วยไฟปานกลาง พอเดือดน้ำตาลละลายให้ยกลง
2. ล้างหัวไชเท้าปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นบางๆตามยาว ตัดเป็นเส้นกว้างประมาณ 1 1/2 ซม. ใส่ลงในหม้อน้ำส้ม (ข้อ1) และดองไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง
3. ล้างขึ้นฉ่ายตัดใบออก ลวกส่วนก้านในน้ำเดือด พอนุ่มตักขึ้นแช่น้ำเย็น ฉีกเป็นเส้นๆใช้เป็นเชือกสำหรับผูก
4. ล้างกุนเชียง นึ่งในน้ำเดือด ไฟแรงพอสุก ยกลง หั่นเป็นชิ้นยาว 1 นิ้ว ผ่าครึ่งเป็น 2 ชิ้นเท่าๆกัน
5. ตักหัวไชเท้าดองออกจากหม้อให้สะเด็ดน้ำ พันกุนเชียงด้วยหัวไชเท้าดอง วางใบขึ้นฉ่าย 1 ใบลงข้างบน พันด้วยก้านขึ้นฉ่าย ผูกให้แน่น
6. จัดวางลงในถาด เสิร์ฟกับเครื่องดื่มเป็นออเดิร์ฟ

เคล็ดลับ
ถ้าชอบรสเผ็ดไม่ต้องดองหัวไชเท้า ขยำหัวไชเท้ากับเกลือพอนุ่ม ล้างด้วยน้ำแล้วจึงนำมาพัน แต่ในการที่ดองหัวไชเท้าก่อนทำให้รสชาติอร่อย ความเปรี้ยวทำให้ไม่เลี่ยน

อันตรายจากการดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร

หลายคนๆเคยชินกับการดื่มเครื่องดื่มเย็นๆหลังจากรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของชาเพราะเชื่อกันว่า สามารถขจัดไขมันและแก้เลี่ยนดื่มลงไปแล้วย่อมชุ่มฉ่ำใจแน่นอน แต่คุณเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หลังจากนั้นในท้องของคุณจะเกิดอะไรขึ้น !?



ลองนึกภาพตามดูนะ !!ซี่โครงเนื้อในท้องของคุณ (หรือไก่ทอด หรืออะไรก็ตาม)ล้วนเป็นอาหารที่มันย่อง กระเพาะและลำไส้จะทำการย่อยพวกมันก็ต้องเปลืองแรงหน่อย ตอนนี้เทน้ำเย็นๆลงไปอีกถ้วยหนึ่ง...



เคยเห็นน้ำมันหมูในตู้เย็นมั้ย !?คุณจินตนาการว่ากลืนไขมันที่จับตัวเป็นก้อนสีขาวเหล่านั้นลงไปในกระเพาะออกมั้ย !?เมื่อกระเพาะและลำไส้ของคุณ เต็มไปด้วยน้ำมันที่จับตัวเป็นก้อนราวน้ำตาเทียนไขยังจะแก้เลี่ยนได้อีกมั้ย!




ถ้าหากแค่เพียงทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียนเท่านั้นก็แล้วไปเถอะ
แต่ที่สำคัญก็คือ มันสามารถทำให้คุณเป็นมะเร็งลำไส้ได้ด้วย !!




ไขมันที่จับตัวเหล่านี้ เมื่อเจอกับกรดในกระเพาะอาหารจะอ่อนตัวกลายเป็นสภาพกึ่งของแข็งและของเหลวที่เหนียวข้นจากนั้นจะไหลเข้าสู่ลำไส้ก่อนอาหารที่มีสภาพเป็นของแข็งชนิดอื่นดังนั้นวัตถุที่มีสภาพเป็นน้ำก็ไม่ใช่ไขมันก็ไม่เชิงและเหนียวๆข้นๆนี้
ก็จะถูกลำไส้ดูดซึมไปเป็นอันดับแรก

แต่ว่า !!ลำไส้ไม่อาจดูดซึมกำจัดวัตถุประหลาดนี้ได้ทั้งหมด แล้วต่อมา ผนังลำไส้จะเต็มไปด้วยคราบไขมันเหล่านี้



ก็เหมือนกับการล้างหม้อใส่น้ำแกงเนื้อในหน้าหนาวคือไม่ว่าจะล้างยังไง ก็ยังรู้สึกมันๆลื่นและเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าวัตถุที่ชวนอาเจียนนี้ก็จะฝังเข้าไปในผนังลำไส้เมื่อสะสมไว้นานๆ ก็อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่นำมาซึ่งโรคมะเร็งลำไส้ในที่สุด !!

ดังนั้นรีบเปลี่ยนพฤติกรรมความเคยชินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตนี้โดยเร็วเถอะ !!รับประทานอาหารเสร็จแล้ว อย่ารีบกรอกน้ำเย็นลงไปทางที่ดีคือควรดื่มน้ำแกงร้อนๆ หรือน้ำอุ่นๆก็โอเคแล้ว

ขอบอกเรื่องชวนอาเจียนอีกอย่างหนึ่งถ้าเป็นมะเร็งลำไส้แล้ว จะต้องต่อท่อเข้าไปกระเพาะ ถึงจะอุจจาระได้นะคุณคงไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้ใช่มั้ยรีบบอกต่อคนที่คุณรักและห่วงใย อย่าให้พวกเขาต้องต่อสายท่อเลย !!

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของกาแฟ

กาแฟ : คุณประโยชน์ต่างๆของกาแฟ

ประโยชน์ของกาแฟมีมากมายหลายอย่างด้วยกัน ทั้งช่วยผ่อนคลายความเครียด ช่วยบำบัดโรคบางชนิด นอกจากนี้กาแฟยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตัวระงับความเจ็บปวด โดยเฉพาะประโยชน์ของกาแฟในการรักษาไมเกรน และกาแฟยังสามารถกำจัดโรคหืดในผู้ป่วยบางคนได้ด้วย คุณประโยชน์บางอย่างของกาแฟอาจส่งผลต่อเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น กาแฟได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการฆ่าตัวตายในผู้หญิง และกาแฟยังช่วยป้องกันนิ่วและโรคถุงน้ำดีในผู้ชาย นอกจากนี้กาแฟยังช่วยลดโอกาสเกิดโรคเบาหวานในทั้งสองเพศ และลดเพียงประมาณ 30% ในผู้หญิง แต่ลดมากกว่า 50% ในผู้ชาย กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็งและกาแฟยังป้องกันมะเร็งในปลายลำไส้ใหญ่และกระเพาะปัสสาวะ กาแฟสามารถความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในเซลล์ตับ ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของมะเร็งตับ (Inoue, 2005) และสุดท้ายกาแฟช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจ ถึงแม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เป็นเพราะมันกำจัดไขมันในเส้นเลือด หรือเพราะว่ามันเป็นมีผลกระตุ้นกันแน่

ยังมีข้อดีอื่น ๆ ของกาแฟที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟ เช่น กาแฟช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น (short term recall) และกาแฟช่วยเพิ่มไอคิว นอกจากนี้กาแฟยังช่วยเปลี่ยนระบบเมตาบอลิซึมให้มีสัดส่วนของลิพิดต่อคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเผาผลาญสูงขึ้น ซึ่งช่วยลดอาการล้ากล้ามเนื้อของนักกีฬา

คุณประโยชน์เหล่านี้บางอย่างจะได้ผลเมื่อดื่มกาแฟเพียงประมาณ 4 ถ้วยต่อวัน (24 ออนซ์) แต่บางอย่างก็ต้องดื่มถึง 6 ถ้วยหรือมากกว่านั้น (32 ออนซ์หรือมากกว่า)
กาแฟนอกจากจะให้ประโยชน์ด้านต่างๆแล้ว แต่ก็ให้โทษกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด ซึ่งอาจต้องงดการดื่มกาแฟหรือดื่มให้น้อยลง

ประโยชน์ของกาแฟต่อร่างกาย

1.การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B มีผู้วิจัยพิสูจน์แล้วว่า กาแฟมีประโยชน์ในการป้องกัน โรคดังกล่าว
2. การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยป้องกันโรคหอบ โรคนี้ คือ อาการ ภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปเมื่อมีประสาทสำรองไม่ถูกกระตุ้น จะไม่มีอาการหอบเกิดขึ้นง่ายๆ แต่ถ้าหากประสาทสัมผัสสำรองถูกกระตุ้น จะเกิดอาการหอบทันที และคาเฟอีนในกาแฟจะระงับการตึงเครียดของประสาทสัมผัสสำรอง ลดการเกิดโรคหอบ
3. การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยลดการเกิดโรคตับจากสุรา ตามที่นักวิชาการสำรวจแล้วพบว่า กาแฟช่วยลดผลร้ายที่จะมีต่อตับ แต่ยังต้องวิจัยต่อไปว่า สารใดที่มีประโยชน์ดังกล่าว และมีผลต่อสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดโรคตับแข็งหรือไม่ นอกจากแอลกอฮอล์
4. การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งในช่องปาก จากผลการทดลองจริง พบว่ากาแฟมีประสิทธิภาพป้องกันโรคขั้นต้น โดยเฉพาะในคาเฟอีนมีกรดอะซิติก ที่ช่วยป้องกันโรค
5. การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยขับไล่ความชรา ออกซิเจนเป็นสารที่ร่างกายต้องการมากก็จริง แต่ถ้ามีออกซิเจนมากไป ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงและแก่เร็ว โดยเฉพาะกาแฟที่เข้มข้น จะทำให้ออกไซด์แตกตัว ลดการเกิดมะเร็งได้ กระตุ้นการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
6. การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยกาแฟลดอัตราคอเลส-เตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ในกาแฟมีนิโคติน แต่ไม่ใช่ชนิดเดียวกับในบุหรี่ แต่เป็นวิตามิน B รวมชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายต้องการ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด จึงป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือดแข็งตัว
7. การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยละลายไขมัน กาแฟที่ทานหลังอิ่มอาหาร ช่วยให้ไขมันแตกตัว และให้พลังงานทดแทนจึงลดความอ้วนได้
8. กาแฟเพิ่มไขมันชนิดดีให้ร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตามผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จะมีไขมันชนิด (HDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะขับไล่คอเลสเตอรอลออกไป ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
9. การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยแก้ปวดศีรษะ กาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้
10. การดื่มกาแฟเป็นประจำ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมองและสมรรถภาพสมอง มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่า ความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น นั้นเป็นเพราะกลิ่นกาแฟ ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองเพิ่มขึ้น
11. ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่ม กาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ คาเฟอีน ในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกาแฟ

ถ้าจะถามว่าควรดื่มกาแฟวันละมากน้อยเท่าใด คงหามาตรฐานมาตอบไม่ได้ แต่ส่วนมากจะอยู่ที่วันละ 1-2 แก้ว ต้องดูตามความชอบ และสภาพร่างกายผู้ดื่ม โดยทั่วไป ดื่มให้อร่อยหรือพอใจ คงจะเหมาะสม แต่ก็ควรสังเกตลักษณะอื่นๆ โดยละเอียดดังนี้
ดื่มกาแฟตอนเย็น ทำให้นอนไม่หลับไหม หลายคนเคยมีประสบการณ์มาบ้าง แต่กาแฟก็มีผลต่อร่างกาย แต่ละคนต่างกัน ถ้ากลัวว่าจะนอนไม่หลับ ให้ดื่มน้อยลง ทว่ากาแฟมีผลในการขับปัสสาวะ อาจทำให้ต้องลุกเข้าห้องน้ำกลางดึก รบกวนการนอนได้
คนมีครรภ์ควรดื่มกาแฟไหม เป็นเพราะว่าคาเฟอีนในกาแฟ จะส่งผลต่ออวัยวะภายในของทารกที่ยังอ่อนแออยู่ จึงไม่ควรดื่ม
เด็กเล็กไม่ควรดื่มกาแฟ โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ขวบ
หญิงลูกอ่อน ที่คลอดลูกแล้ว 100 วัน และอยู่ในช่วงให้นมลูก ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะช่วง 100 วันนี้ ทารกต้องการน้ำนมบริสุทธิ์จากแม่ การดื่มอะไรเข้าไปจะส่งผลต่อทารกได้ จึงต้องระวัง
คนเป็นโรคกระเพาะควรงดดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้น การหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะ จะยิ่งเพิ่มกรดในกระเพาะให้อักเสบมากขึ้น
คนเป็นโรคหัวใจ ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีน มีบทบาทในการกระตุ้นหัวใจ ทำให้เลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งกรณีนี้ไม่เป็นอันตรายต่อเด็กวัยรุ่นถ้าดื่มกาแฟ แต่ถ้าเป็นคนชราที่มีโรคหัวใจอยู่ จะทำให้ประสิทธิภาพหัวใจดีเกินไป และหัวใจเสื่อมเร็ว จึงไม่ควรดื่มอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกาแฟที่เข้มข้นสูงควรหลีกเลี่ยง

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

ต้นไม้

ต้นไม้...ในเมืองไทยมีหลายชนิด แต่ละชนิดก็จะมี ลำต้น ใบ ดอก ที่แตกต่างกัน และการดูแลก็แตกต่างกัน การขยายพันธุ์ก็ต่างกันออกไป ถ้าต้นไม้ยืนต้นก็จะมีการขยายพันธุ์โดยการ ตอน ต่อกิ่ง ติดตา การทาบ การต่อยอด และถ้าไม้ล้มลุกก็จะใช้การปักชำ